รีวิวหนัง Insidious The Red Door กลับมาอีกครั้งกลับภาพยนตร์สยองขวัญ หนังสยองขวัญระดับตำนาน ที่สร้างความน่าสะพรึงกลัวทั่วโลก กลับมาอีกครั้งในปีนี้พร้อมกับภาคที่ 5 นั่นก็คือเรื่อง Insidious The Red Door วิญญาณตามติด ประตูผีผ่าน โดยปกติแล้วหนังสยองขวัญที่เราเจอมักจบในภาคเดียว หนังสยองขวัญมาใหม่

แต่มีค่อนข้างน้อย ที่จะประสบความสำเร็จจนมีภาคต่อ บางเรื่องก็ขยายไปสู่ จักรวาลหนังสยองขวัญ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงแม้จะไม่ยิ่งใหญ่จนกลายเป็นจักรวาลหนังแต่ก็มีจุดเด่นเป็นของตัวเอง พร้อมกับประสบความสำเร็จ จนมีภาคต่อตามมาอีกไม่น้อย กับหนังที่แฟนๆชาวหนังไทยจะไม่มีวันลืมเลยค่ะ 

จากการอัปเดตล่าสุด หลังจากมีข่าวเกี่ยวกับหนัง Insidious 5 มานาน ตอนนี้ก็ได้ปล่อยเนื้อเรื่องของหนังออกมาแล้ว กำหนดเส้นตายเปิดเผยว่าส่วนที่ 5 จะเกิดขึ้น 10 ปีหลังจากเหตุการณ์ใน Insidious 2 ที่เป็นเรื่องราวที่จะปิดตำนานการถอดจิตของครอบครัวแลมเบิร์ต ที่เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ดัลตัน ตอนโต และพ่อของเขาอย่าง จอช ครับ ที่ตัวหนังจะกำกับโดยนักแสดงนำของเรื่องอย่าง แพทริก วิลสัน ที่เป็นการกำกับหนังเรื่องแรกของเขาอีกด้วย

 

รีวิวหนัง Insidious The Red Door

 

รีวิวหนัง Insidious The Red Door วิญญาณตามติด ประตูผีผ่าน ผลงานผู้กำกับ แพทริค วิลสัน

โดยภาพยนตร์ Insidious 5 จะกำกับโดยนักแสดงนำของเรื่องอย่าง แพทริก วิลสัน (Patrick Wilson) ที่เป็นการกำกับหนังเรื่องแรกของเขาอีกด้วย นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่สวยงาม ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ทุนสร้างถึง 16 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่าจะสูงกว่าภาคก่อนๆ ก็ตาม แต่หากดูจากรายได้รวมที่หนังได้รับ ทุนสร้างจำนวนนี้จึงถือว่าน้อยมากค่ะ ดู The Conference – สัมมนาเลือด

นอกจากนั้นตัวหนังยังได้นักแสดงชุดเก่าของแฟรนไชส์ “Insidious” กลับมาอย่าง โรส เบิร์น ที่กลับมารับบทเรไน แลมเบิร์ต อีกครั้ง 

นอกจากนั้นยังมีนักแสดงสมทบด้วยนั่นก็คือ เจย์ลิน เลิฟเดย์, เอเจ ไดเออร์, ซินแคลร์ แดเนียล, ปีเตอร์ เดเกอร์, ฮิแอม อับบาส และ ไท ซิมพ์กินส์ ที่รับบทเป็น  ดัลตัน ตอนโต ใน “Insidious: The Red Door วิญญาณตามติด ประตูผีผ่าน” 

 

รีวิวหนัง Insidious The Red Door

 

เรื่องย่อ Insidious The Red Door 

Insidious The Red Door เล่าเรื่องราว 10 ปีหลังจากตอนจบของ Insidious Chapter 2 (2013) นั้น Josh Lambert รับบทโดย Patrick Wilson มุ่งหน้าไปทางตะวันออกเพื่อส่ง Dalton รับบทโดย Ty Simpkins ลูกชายของเขา

ที่เติบโตเป็นหนุ่มและกำลังเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย ivy-league university ด้านศิลปะ อย่างไรก็ตามความฝันที่จะใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของ Dalton ก็กลายเป็นฝันร้าย เมื่อปีศาจที่ถูกกดเอาไว้ในอดีตของเขากลับออกมาหลอกหลอนทั้งคู่อีกครั้ง เพื่อยุติการหลอกหลอน ลี้ลับ แปลกประหลาดและความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด ดู Contorted – บ้านขังผี  

Josh และ Dalton ต้องกลับไปสู่ดินแดนปรโลก The Further ผ่านประตูแดงอีกครั้ง เพื่อค้นหาคำตอบและจุดจบของฝันร้ายที่ยากเกินจะต้านทาน สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในภาคนี้คือเซอร์ไพรส์และความสยองขวัญที่เพิ่มขึ้นจากภาคก่อนหน้า เนื้อเรื่องที่มีความซับซ้อนมากขึ้น การแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจและผสมผสานกับมิติแห่งโลกแห่งวิญญาณ สมกับการรอคอยถึง 5 ปี

 

รีวิวหนัง Insidious The Red Door

 

 ความน่าสนใจของภาพยนตร์

และแน่นอนว่า ด้วยความที่รายได้นิยมถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศ แฟนๆหนังสยองขวัญ ต่างคาดหวังภาคต่อจาก Blumhouse Productions สตูดิโอเบื้องหลังภาพยนตร์ระทึกขวัญระดับตำนานอย่าง Paranormal Activity, Insidious, The Purge, Split, Get Out, Happy Death Day และ Halloween / ดู Insidious The Last Key

ก็มีแนวคิดคือการสำรวจความเป็นไปได้ของภาพยนตร์ในอนาคตในแฟรนไชน์นี้ ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น Multiverse ตามกระแสหลัก ข้ามจักรวาล หรือครอสโอเวอร์กับซีรีส์ Sinister ในเดือนตุลาคม 2020 ที่ต่างก็เล่าเรื่องบนเส้นเรื่องของตัวเองมาโดยตลอด

หลังจากจบภาพยนตร์ Insidious The Red Door เราอาจมีคำตอบที่น่าตื่นเต้นก็เป็นได้ เพราะล่าสุดสตูดิโอนี้ได้ขยายไปสู่อีกระดับด้วยการประกาศเปิดแผนกใหม่ภายใต้ชื่อ Blumhouse Games พร้อมร่วมมือกับทีมพัฒนาอิสระเพื่อสร้างประสบการณ์เกมแนวสยองขวัญด้วย เรียกได้ว่ากลัวในโรงหนังไม่พอ พวกเขาจะยังกลัวกันบนหน้าจอเกมส์กันอีก

 

รีวิวหนัง Insidious The Red Door

 

ความรู้สึกหลังรับชม 

ส่วนตัวผู้เขียนหลังจากดูจบแล้วต้องขอบอกเลยว่าในภาคนี้ยังสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ชมได้ไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ กับฉาก Jumpscareที่โดนใจที่สุดส่วนในพาร์ทอื่นๆนั้นตัวผู้เขียนเองกลับรู้สึกเฉยๆอย่างบอกไม่ถูกค่ะ อาจเป็นพล็อตเรื่องของหนังไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เกี่ยวกับการถอดจิตสักเท่าไหร่ และเพียงจะไปช่วยลูกในมิติลึกลับแค่นั้นเอง ดู Winchester – คฤหาสน์ขังผี 

แต่รู้สึกกับชื่นชมและชอบมากในส่วนของฉากตุ้งแช่นี่แหละค่ะ ที่เหมือนจะเป็นจุดขายที่ใหญ่ที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้แบบสุดๆที่ทำออกมาได้จังหวะโคตรดีเลย จังหวะตุ้งแช่ก็เนียนเก็บเก็บรายละเอียดทุกเม็ดเลยจริงๆค่ะไม่ว่าจะเป็นฉากที่ตัว จอช นั้นเข้าไปที่เครื่องสแกน MRI ต้องขอบอกเลยว่าหลอนและโคตรระทึกสุดๆไปเลยค่ะ 

ที่ทำให้ผู้ชมต้องตกใจสะดุ้งกันแน่ๆและอีกฉากที่ยอดเยี่ยมเช่นกันก็คือฉากในห้องนอนของ ดัลตัน ที่ทำเอาตัวผู้เขียนนั้นสะดุ้งแรงกันเลยทีเดียวกับฉากนี้ค่ะแต่พอเอาเข้าจริงๆแล้วไอ้พวกฉากสะดุ้งตุ้งแช่ของหนังเนี่ยมีแค่ 4-5 ฉากแค่นั้นส่วนที่เหลือนั้นตัวภาพยนตร์จะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกซะมากกว่าค่ะ 

 

 

รีวิวหนัง Insidious The Red Door วิญญาณตามติด ประตูผีผ่าน จุดเด่นและจุดด้อยของหนัง

อย่างไรก็ตามน่าเสียดายที่ในหลายๆจุดในภาพยนตร์ Insidious The Red Door เป็นการกลับมาสานต่อที่ยังไม่ค่อยปะติดปะต่อสักเท่าไหร่นัก จุดด้อยของหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นบทที่ค่อนข้างมีชั้นเชิงเบาบางไปสักนิด ก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินวนอยู่แค่ลูปเดิมๆ ที่หนังเองก็เคยเล่าในทิศทางนี้มาก่อน ในขณะที่พัฒนาการของตัวละครที่เติบโตขึ้นกลับรู้สึกโตแค่กาลเวลาผ่านไปแค่นั้นเองแต่ในการสร้างมิติคาแรคเตอร์ให้กับตัวละครยังล้มเหลวอย่างน่าผิดหวัง

หากผู้ชมคนไหนที่สงสัยว่าถ้าไม่ได้ดูหนังชุดแฟรนไชส์วิญญาณตามติดแบบปะติดปะต่อกันหรือไม่เคยดูเลยสักภาคเดียว แล้วจะมาเริ่มดูภาคนี้เลยจะเข้าใจหรือไม่ ผู้เขียนขอบอกได้เลยว่าน่าจะเข้าใจได้ค่ะ เพียงแค่ผู้ชมน่าจะยังรู้สึกสงสัยในหลายๆประเด็นอยู่ไม่น้อย 

เนื่องจากมีส่วนที่เชื่อมโยงกับภาคก่อนๆโดยเฉพาะภาค 2 ที่ผลลัพธ์อาจจะทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่ชัดเจนมากนักหากผู้ชมไม่เคยมีพื้นฐานและภูมิหลังจากหนังชุดแฟรนไชส์นี้มาก่อน ในภาคนี้เราแทบจะไม่เห็นผีสักตัวเลยถึงแม้จะเห็นแต่ก็น้อยมากๆค่ะ แถมเนื้อเรื่องผู้ชมก็คาดเดาได้ง่ายมากๆ จึงทำให้ภาคนี้ไม่ค่อยน่าสนใจสักเท่าไหร่นะแต่สำหรับผู้เขียนดูรวมๆแล้วก็โอเคค่ะไม่ได้แย่และก็ไม่ได้ดีมากสำหรับหนังปิดตำนานความสยองขวัญในภาคนี้

ในส่วนของจุดเด่นผู้เขียนขอชื่นชมในส่วนของนักแสดงนำที่ทำออกมาได้ดีพอสมควรเลยค่ะแต่เนื้อเรื่องของหนังก็ไม่ได้ดันส่งตัวละครนั้นให้มีความน่าสนใจเลยถ้าเพิ่มเติมสิ่งที่มันแปลกใหม่เข้ามาตัวหนังเรื่องนี้ก็จะออกมาดีมากๆค่ะในภาคนี้ 

ในส่วนขององค์ประกอบการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถือว่ายังทำได้ดีตามมาตรฐาน เพราะตัวหนังเองก็ไม่ได้ใช้เทคนิคอะไรมากมายสักเท่าไหร่ค่ะ เป็นหนังทุนสร้างต่ำแต่มักจะให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูงตามสไตล์ อีกทั้งงานสร้างในภาคนี้ค่อนข้างจะผ่อนแรงไปสักหน่อย ความสยดสยองและความน่ากลัวที่ภาคก่อนหน้านี้เคยสั่งสมเอาไว้ภาคนี้แทบจะเทียบไม่ได้เลยเพราะปริมาณค่อนข้างน้อย 

แม้ว่าบทภาพยนตร์เรื่อง Insidious The Red Door จะค่อนข้างอ่อนเกือบทุกๆด้านแต่อย่างน้อยหนังเรื่องนี้ก็มีจุดแข็งให้กับความเป็นหนังครอบครัวบนพื้นฐานของหนังสยองขวัญ เพราะรากฐานและภูมิหลังของครอบครัว แลมเบิรต์ในหนังเรื่องนี้ ถูกปูเอาไว้ค่อนข้างมั่นคงโดยเฉพาะการพาผู้ชมไปสำรวจความแตกแยกระหว่างพ่อและลูกที่จุดนี้เป็นไฮไลท์เด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยล่ะค่ะ กลายเป็นว่าผู้ชมอาจจะเสียน้ำตาให้กับหนังสยองขวัญเรื่องนี้ก็เป็นได้ 

 

 

บทสรุปเนื้อหาโดยรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้

โดยสรุปแล้วภาพยนตร์เรื่อง Insidious The Red Door คือการกลับมาของหนึ่งในแฟรนไชส์หนังสยองขวัญที่แฟนๆชื่นชอบ ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าในภาคนี้บทสรุปเนื้อหาของเรื่องยังค่อนข้างธรรมดาและค่อนข้างน่าจะผิดหวังไปสักหน่อยในการ come back ครั้งนี้

ตัวบทที่ยังอ่อนเนื้อเรื่องที่ยังไม่ค่อยปะติดปะต่อสักเท่าไหร่โครงเรื่องก็ยังไม่ค่อยประทับใจนัก ที่แย่กว่านั้นก็คือความสยองขวัญเก่าๆได้หายไปแทนที่ด้วยเรื่องราวอันซาบซึ้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัวซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายแต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบประมาณนึงอยู่ 

ขณะที่นักแสดงนำ “ไท ซิมป์กินส์” ที่กลับมาครั้งนี้ น้องก็โตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว แน่นอนว่าบทภาพยนตร์ก็ต้องรวมพัฒนาการของเขาด้วย เขากลายเป็นชายหนุ่มในวัยมหาวิทยาลัย ต้องยอมรับว่าเขาเก็บรายละเอียดจากบทบาทเดิมที่เขาเล่นเมื่อสิบปีก่อนค่อนข้างน่าพอใจ 

แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องหยิบมาใช้เลยก็ตามเพราะอายุของตัวละครได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่เขาก็ได้ถ่ายทอดออกมาได้เป็นอย่างดีเพียงแค่พลังการแสดงอาจจะยังไม่ถึงขั้นที่ต้องแบกรับหนังเอาไว้เพียงลำพังได้ ผู้เขียนขอให้คะแนนเรื่องนี้ คะแนน 6.5/10 ค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *