รีวิวหนัง Insidious The Last Key กลับมาพบกันอีกครั้งกับรีวิวหนังสยองขวัญ และในวันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับภาพยนตร์เรื่อง Insidious The Last Key วิญญาณตามติด กุญแจผีบอก โดยภาคนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ ดร.เอลิส จิตสัมผัส กันมากขึ้นนะคะ โดยเนื้อเรื่องได้เล่าย้อนเวลากลับไปวัยเด็กและบ้านเก่าของเธอ ดูหนังผี สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดประตูสีแดงสู่โลกความตาย และในภาคนี้น่าสนใจตรงที่ตัวละครเข้ากับภาคอื่นๆได้ดี (ถ้าไม่เคยดูตอนก่อนๆก็ไม่รู้เรื่องนี้) การผูกปมให้ตัวละครไขปริศนาทีละเรื่องมีความกระชับและเข้าใจง่าย เปิดเรื่องนิดหน่อยเราก็เริ่มตามล่าหากุญแจแล้วออกไปท้าทายผี เนื่องด้วยความแตกต่างของภาพยนตร์แฟรนไชน์ชุดนี้ ที่เป็นหนังผีที่ไม่ได้มีดีแค่ผี แต่ยังเป็นหนังผีสยองขวัญที่มีการเล่า การใช้ไทม์ไลน์ของเรื่องได้อย่างน่าสนใจ และน่าติดตาม จนกลายเป็นเอกลักษณ์เลยก็ว่าได้ค่ะ  ถ้าหากผู้ชมคนไหนที่อยากรู้ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นแบบไหน จะจบลงยังไง มาติดตามรับชมการแนะนำหนังไปพร้อมๆกันในบทความนี้ได้เลยนะคะ

 

รีวิวหนัง Insidious The Last Key

 

รีวิวหนัง Insidious The Last Key เรื่องย่อ

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา นี่คือเหตุการณ์ก่อนภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องก่อนหน้านี้ อดีตของ ดร.เอลีส (ลิน เชย์) ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กและวัยสาว รวมถึงการที่เธอต้องต่อสู้กับความชั่วร้ายที่โผล่ออกมาจากนรก เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นอีกครั้ง คราวนี้การต่อสู้กับวิญญาณชั่วร้าย “เอลิส” ได้พาจิตใจของเธอไปสู่ชีวิตหลังความตาย สถานที่นั้นคือที่ที่พวกเขาเรียกมันว่าส่วนลึกที่สุดของหัวใจ Insidious The Red Door วิญญาณตามติด ประตูผีผ่าน

ที่นั่นต้องใช้ “กุญแจ” เพื่อเปิดชีวิตหลังความตายที่ลึกที่สุดซึ่งมีปีศาจมาหลอกหลอนอยู่ ในโลกหลังความตาย ภาพยนตร์เรื่องนี้จะมาในรูปแบบไหน ? จะเป็นห้องแคบ ๆ มุมใดมุมหนึ่งที่แสงแทบจะไม่รอดผ่านได้ ส่วนใดส่วนหนึ่งของบ้าน ในภาคนี้เอลิซได้เดินนำพาเราเข้าไปสู่ “เรือนจำ” ที่มืดดำ อับ รกร้าง ว่างเปล่า และสุดแสนจะขนหัวลุก

โดยในภาคนี้ได้ “ลิน เชย์” ที่ได้ฉายาว่า คุณป้าเรียกผี จากภาพยนตร์เรื่องนี้ ขึ้นมาเป็นนักแสดงนำแทน เพราะนี่คือเรื่องราวต้นกำเนิดของเธอจริงๆ พร้อมทั้งให้ “ลีห์ แวนเนลล์” มาเขียนบทหนังเรื่องนี้ต่อเช่นเคย โดยเปลี่ยนมือจากผู้กำกับเป็นนักแสดงหนุ่ม “อดัม โรบิเทล” (จาก Escape Room) มาดูแลการผลิตแทน และถือเป็นภาพยนตร์ที่แจ้งเกิดให้กับเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์

 

รีวิวหนัง Insidious The Last Key

 

ความน่าสนใจของภาพยนตร์

และแน่นอนว่า Insidious ภาคที่4 ยังคงคอนเซ็ปต์ของหนังสยองขวัญทุนต่ำต่อไป ด้วยเงินลงทุนเพียง 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงกอบกู้ผลกำไรทั่วโลกกลับมาได้เหมือนเดิม เพราะภาคนี้ทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 160 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับคำวิจารณ์ที่ค่อนข้างน้อยนิดไปสักหน่อย เพียง 33% บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes แต่แฟนหนังก็ยังให้การอุดหนุนหนังเรื่องนี้เป็นอย่างดี

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Insidious The Last Key ถือว่ากระแสความนิยมทำให้หนังมีโอกาสเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในไทยพร้อมๆ กับที่อเมริกา เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2561 และถือว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งใน ภาพยนตร์เรื่องแรก ในปีนั้นก็สามารถทำเงินบนบ็อกซ์ออฟฟิศบ้านเราไปได้อย่างมากมาย ซึ่งค่อนข้างน่าพอใจในระดับหนึ่งเลยค่ะ

  • ประเภท: สยองขวัญ/ระทึกขวัญ
  • นำแสดงโดย: ลิน เชย์, แองกัส แซมป์สัน, ลีห์ วันเนลล์, สเปนเซอร์ ล็อค
  • กำกับโดย: อดัม โรบิเทล
  • ความยาว: 103 นาที
  • ออกอากาศครั้งแรก: 4 มกราคม 2561 (กำหนดฉายในไทย)

 

รีวิวหนัง Insidious The Last Key

 

พาย้อนกลับไปสู่บ้านที่หลอนที่สุดในชีวิตของเอลิส

เนื้อหาของภาพยนตร์ยังคงเป็นวีรกรรมของคุณป้าเอริสหรือที่ผู้ชมพากันเรียกกันว่าคุณป้าเรียกผี ที่ครั้งนี้กลับมาเล่าเรื่องราวของเธอในตอนเด็กๆว่าเธอมีพรสวรรค์ แต่พ่อที่เป็นพัสดีคุมนักโทษกลับไม่รู้สึกปลาบปลื้มกับความสามารถเห็นผีของเธอเลยสักนิด

และเฆี่ยนตีเอลิสทุกครั้งที่เธอบอกว่าเห็นผีที่คอยคุกคามอยู่ในบ้านของครอบครัว ผ่านมา 63 ปี เอลิสได้รับการจ้างวานให้ไปปราบผีอีกครั้ง แต่รอบนี้บังเอิญว่าเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่ที่ย้ายมาอยู่ในบ้านสมัยเด็กของเอลิสและวิญญาณร้ายตัวเดิมยังคงวนเวียนอยู่ เอลิสตัดสินใจกลับไปจัดการฝันร้ายในอดีตอีกครั้ง

และภาพยนตร์ภาคนี้ยังได้ Leigh Whannel คู่หูคู่ซี้ของผู้กำกับเจมส์ วาน ยังคงกลับมาเขียนบทในภาคที่ 4 โดยรับบทเป็น “สเปค”หนึ่งในทีมงานปราบผี และเป็นที่มาของมุกตลกของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เข้ากันได้ดีกับ ทักเกอร์ คู่หูร่างใหญ่นักประดิษฐ์ที่มีมุกแป้กที่ทัคเกอร์พยายามเล่นอยู่ 2 ครั้งในหนังคือมุกพ้องเสียง เธอเป็น psychic = ไซคิก (หมอผี) ส่วนพวกเราเป็น Side Kick = ไซด์คิก (ลูกสมุน,ลิ่วล้อ,ลูกกระจ๊อก) แต่ในหนังใช้คำว่า แม่หมอ-ลูกหมอ

ส่วนหน้าที่ผู้กำกับจากที่ ลีห์ เคยได้กำกับเองไว้ในภาคที่แล้ว ภาคนี้ได้โยนความรับผิดชอบให้กับ Adam Robitel ผู้กำกับหนังสยองขวัญคนใหม่ที่กลับมาสานต่อถ่ายทอดภาพยนตร์สยองขวัญได้ดี เมื่อผู้ชมดูหนังสยองขวัญเรื่องนี้ก็ตอบโจทย์แฟนหนังประเภทนี้ได้อย่างเต็มที่เลยค่ะ

เพราะหนังได้ตั้งปัญหาว่าบ้านเก่าของเอลิซเต็มไปด้วยวิญญาณปีศาจร้ายมากมายทั้งฉากลุ้นสะดุ้งก็จัดเต็มแบบไม่กั๊ก ไม่ต้องให้เว้นช่วงกันนาน เดี๋ยวลุ้น เดี๋ยวลุ้น แทบปิดตากันทั้งเรื่องเลยค่ะ แถมห้องใต้ดินยังคงถูกใช้เป็นสมรภูมิหลักของฉากสยองเหมือนกับอีกหนึ่งแสนสองหมื่นแปดพันเรื่องก่อนหน้านี้ ผู้เขียนดีใจนะ ที่บ้านเราไม่นิยมสร้างห้องใต้ดินไว้ในบ้าน ไม่เช่นนั้นคงได้มีบรรยากาศหลอนๆสยองขวัญเหมือนกับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแน่นอนค่ะ

 

รีวิวหนัง Insidious The Last Key

 

ความรู้สึกหลังรับชม

แม้ว่าหนังจะเปลี่ยนจุดศูนย์กลางของเรื่องไปจากเรื่องราวดั้งเดิมของตระกูลแลมเบิร์ตก็ตาม จากนั้นย้ายไปเล่าเรื่องของแม่หมอป้าเอลิซ แต่ตัวหนังยังคงไม่ละทิ้งฉากชีวิตหลังความตายที่เป็นประเด็นหลักของแฟรนไชส์ ​​Insidious ถือว่าเป็นเรื่องดีที่คราวนี้มันลดจินตนาการของฉากชีวิตหลังความตายลง แต่กลับทำให้ดูน่ากลัวขึ้นอีกนิดคล้ายกับต่อจากนี้ 

บทของ ลีห์ ทำได้ดีในการสร้างปริศนาต่างๆ ที่ทำให้อยากรู้เบื้องหลังอันมืดมนของพ่อ ที่มาของผีแต่ละตัวในบ้าน จุดประสงค์ของกุญแจ ที่เปิดเผยความเป็นมาของเจ้าของบ้านคนใหม่ มีประเด็นต่างๆ มากมายใส่ไว้ในนี้ ยังไม่พอครอบครัวน้องชายก็เพิ่มเข้ามาเพิ่มความเพลิดเพลินในช่วงครึ่งหลังอีกด้วย ให้หลานสาวของ Elise มีพรสวรรค์ในการเห็นผีเหมือนกับป้าของเธอ

เรียกได้ว่าแต่ละประเด็นที่ใส่เข้าไปก็ทำให้หนังดำเนินเรื่องได้สนุกและน่าติดตามค่ะ การผูกชนวนไว้มากรอการเฉลย แต่พอมาถึงจุดคลี่คลายนี่สิ กลับเหมือนถูกทิ้งค้าง นอกจากการสะสางปัญหาที่ดูรวบรัดง่ายดายแล้ว ปริศนาอีกมากก็ถูกเพิกเฉยทิ้งไว้ ไม่ได้มีการอธิบาย ที่มาของผีกุญแจ ผีเด็กในบ้านหายไปไหน

รวมถึงกิจกรรมโหดของพ่อก็ไม่ได้ถูกขยายแล้วสุดท้ายพ่อมีจุดจบอย่างไร จุดทั้งหมดเหล่านี้ถูกละทิ้งไป แต่กลับเลือกปิดท้ายด้วยดราม่าความรักความผูกพันในครอบครัว แล้วเริ่มต้นปมใหม่เพื่อสานต่อวีรกรรมครั้งต่อไปของป้าเอลิซในภาคที่ 5

 

 

รีวิวหนัง Insidious The Last Key  จุดเด่นและจุดด้อยของหนัง

เอาล่ะค่ะ เรามาพูดถึงทีละประเด็นกันดีกว่า นี่เป็นภาคต่อที่ 4 ของภาพยนตตร์แฟรนไชน์ Insidious แต่ถ้าจะพูดถึงไทม์ไลน์ จะเป็นภาคที่ 2 ตามลำดับจากภาค 3 ก่อน ตามด้วยภาคนี้ ในขณะที่ภาคแรกและภาคสองเกิดขึ้นต่อจากภาคนี้ หากพูดถึงเรื่องสยองขวัญก็ถือว่ายังมีมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ประทับใจเท่าไรเท่ากับ 2 ภาคแรกที่มีทั้งความสยองขวัญ ความลึกลับ การพลิกผันที่ดี และที่ขาดหายไปคือ “ความหลอน” มิติ” ที่ตัวละครต้องไป เผชิญหน้าผีร้าย ซึ่งใน 2 ภาคแรกทำอะไรเหล่านี้ได้ดีกว่า

ส่วนภาคนี้ผู้เขียนว่ามันคล้ายกับภาค 3 ตรงที่จะมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่เมื่อคุณลบมัน แต่พอเอามาหักกลับลบแล้ว ก็รู้สึกว่าพอๆ กัน ซึ่งสำหรับภาค 4 นี้จุดที่ผู้เขียนว่าเด่นคือปมดราม่าค่ะ เพราะเรื่องในภาคนี้ย้อนเล่าถึงชีวิตของคุณป้าเอลิซ (Lin Shaye) แบบเต็มๆ นั่นกลายเป็นจุดที่ผู้เขียนชอบที่สุด เหมือนว่าทีมงานรู้ว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้หนังเรื่องนี้น่ากลัวหรือเด็ดขาดเหมือนหนังสองภาคแรก เลยหันไปหาเรื่องอื่นแทน ซึ่งก็ได้แก่ปมดราม่า ปมชีวิตของเอลิสที่จะว่าไปก็น่าเห็นใจมากๆ เหมือนกัน

การปราบผีในภาคนี้ ถือว่าเป็นการต่อสู้ส่วนตัวของแม่หมอเอริซเลยก็ว่าได้ เพราะผีร้ายตัวนี้มีปัญหากับครอบครัวของเธอมานานแล้ว ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัว เอาดราม่ามาผูกปราบผี ทำให้เราได้เห็นประวัติของคุณป้าหมอผีมากขึ้น ซึ่งการที่เป็นเช่นนี้ คนที่ต้องรับภาระหนักสุดก็หนีไม่พ้น Shaye นี่แหละค่ะ หากเธอทำดีก็คือดี แต่หากทำไม่ดีก็มีผลต่อหนังไปเลยเหมือนกัน

และผลที่ได้ออกมาก็คือเธอทำได้ดีเลยค่ะ  Shaye ทำได้เยี่ยมจริงๆ เธอเป็นหญิงชราที่น่ารัก ดูสุภาพและอ่อนโยน เราก็อดเห็นใจเธอไม่ได้ เพราะอดีตของเธอเศร้ามาก และยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับน้องชายด้วย โดยเฉพาฉากที่เธอเจอน้องในร้านอาหารนั่นเป็นอะไรที่สะเทือนใจไม่น้อยทีเดียว

ส่วนในจุดด้อยของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ ขอบอกตามตรงเลยว่า พอหนังมาถึงจุดที่ต้องเข้าไปสู่ปรภพ เป็นจุดที่ทำให้เราเบื่อทันที เพราะไม่รู้สึกอิน และมันก็ดูแฟนตาซีมากไป ฉากมืดๆ ควันๆ เหมือนดูละครเวทีอยู่ยังไงยังงั้น เพราะสิ่งที่เราชอบในการดูหนังผี คือช่วงที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดในบ้าน ผีในบ้านมาหลอก นั่นคือความบันเทิงของการดูหนังผีอย่างแท้จริง

 

 

บทสรุปเนื้อหาโดยรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้

ภาพยนตร์ Insidious The Last Key ภาคนี้น่าสนใจตรงที่เนื้อเรื่องเชื่อมโยงกับภาคอื่นๆ ได้ดี (ถ้าไม่เคยดูภาคๆก่อนมาก็รู้เรื่อง) การผูกปมให้ตัวละครไขปริศนาทีละเรื่องมีความกระชับและเข้าใจง่าย เปิดเรื่องนิดหน่อยเราก็เริ่มตามล่าหากุญแจแล้วออกไปท้าทายผี

โดยรวมแล้วความสยองขวัญของภาคนี้ถือว่ามีความคล้ายคลึงกับภาพยนตร์เรื่อง Annabelle Creation ที่ชื่อเสียงเล่าลือกันว่า อัดแน่นไปด้วยฉากสยองขวัญ ที่เอาใจแฟนๆคอหนังสยองขวัญ แต่สิ่งที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดในภาคนี้ก็คือ การหลอกให้คนดูสับสนว่าเป็นที่เราเห็นเป็นคนหรือผีกันแน่ ก็ถือว่าเป็นจุดหักมุมเล็ก ๆ กลางเรื่องได้เหมือนกันนะคะ

เรียกได้ว่าเป็นหนังผีสยองขวัญที่ทำให้ต้องตื่นเต้นกับจังหวะของกลอุบายในเรื่อง ซึ่งออกมาค่อนข้างโอเคเลยทีเดียวค่ะ มีความตกใจและสะดุ้งหนักมาก (เพราะซาวน์ดังสุด) ถึงแม้จะมีฉากที่น่ากลัวเพียงไม่กี่ฉากก็ตาม เมื่อเมื่อคุณผู้ชมเผลอเมื่อไหร่หละก็ ผีจะปรากฏขึ้นมาโดยไม่คาดคิดเลยจ้าา ทำเอาผู้เขียนกรี้ดร้องดังลั่นในโรงภาพยนตร์เลยค่ะ นอกจากความสยองขวัญแล้วยังมีความตลกของตัวละครที่เข้ามาทำให้เรื่องหัวเราะและให้พื้นที่ในการหายใจอีกด้วย

ในส่วนของนักแสดงนำในภาพยนตร์ มีไม่กี่คนที่โดดเด่นและตัวละครทุกตัวก็จำได้ง่าย ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี โดยเฉพาะ ป้าลิน เชย์ สิ่งที่ผู้เขียนไม่ค่อยชอบเกี่ยวกับภาพยนตร์แนวนี้ก็คือการเอาชนะปีศาจที่ดูเหมือนง่ายไปสักหน่อย ทั้งๆที่ปีศาจทั้งโหดและแกร่งขนาดนี้บทจะง่ายก็ง่ายเกิน 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *