รีวิวหนังไทยnetflix 13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ

สวัสดีครับเพื่อน ๆ ผมเชื่อว่าทุก ๆ คนคงจะได้เห็นหนังที่ออกมาเล่าเรื่องราวของกลุ่ม หมูป่า 13 คน มากมายแล้ว ผมเองก็หนึ่งในนั่น และก็เบื่อนิดนึง แต่ก็ตามดูหมดเลยนะ 5555 วันนี้เราจะมารีวิว หนังไทยnetflix แล้วยิ่งสำหรับในเวอร์ชั่นนี้ ที่ทำให้ผมสนใจมันมาก ๆ เป็นพิเศษ เพราะในขณะที่เวอร์ชั่นอื่น ๆ จะเน้นเล่าเรื่องโลกภายนอก วางแผน ลงมือทำ แต่ครั้งนี้ เราจะได้มุมมองแบบใหม่ โดยการโฟกัสที่ชีวิตเด็ก ๆ ที่ติดถ้ำกัน เหมือนเราเป็นคนติดถ้ำเองยังไงยังงั้น หากเพื่อน ๆ ยังไม่เบื่อกันซะก่อน ผมก็แนะนำให้ไปหา ดูหนังออนไลน์ เรื่อง 13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ นี้กันนะครับ

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ อย่างที่เรารู้กันดีว่าเป็นเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศเรา ที่ยังสร้างความตระหนกให้กับคนไทยทั้งประเทศ และอย่างที่รู้กัน ว่าต้องไม่แพ้ที่จะเป็นผลงานสารคดีของ Netflix จากฝีมือการสัมภาษณ์ โปรดิวเซอร์ โดยได้ กำกับภาพยนตร์โดย ไพลิน วีเด็ล ที่เรารู้จักกันดีครับ

และอีกอย่างเขายังเป็น ผู้กำกับสารคดีคนแรกของไทยที่สามารถคว้ารางวัลสาขาสารคดียอดเยี่ยมจากงาน International Emmy Awards ครั้งที่ 49 จากผลงานสารคดี Netflix ‘ความหวังแช่แข็ง: ขอเกิดอีกครั้ง’ (Hope Frozen: A Quest to Live Twice)

ซึ่งจะว่าไป สารคดีเรื่องนี้คือผลพลอยได้จากซีรีส์ Netflix ‘ถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง’ (Thai Cave Rescue) ที่เพิ่งฉายไปไม่นานนี้เองล่ะนะครับ เบื้องหลังคือ ไพลินได้เข้าไปสัมภาษณ์กับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำงานด้านข้อมูลให้กับทางซีรีส์

จนกระทั่ง Netflix มองเห็นว่าน่าจะต่อยอดไปเป็นสารคดีจริงจังได้ เลยมีการถ่ายซีนจำลองเหตุการณ์ประกบการสัมภาษณ์ในภายหลัง ซึ่งถ้ำหลวงในซีนนั้นกับในซีรีส์ก็คือถ้ำหลวงจำลองอันเดียวกันนั่นแหละ

หลายคนคงรู้สึกเช่นเดียวกับผู้เขียนว่า แม้เหตุการณ์ที่นักฟุตบอลเยาวชน และ โค้ชจากทีมหมูป่าอะคาเดมี หรือ ’13 หมูป่า’ ที่เข้าไปติดอยู่ภายในถ้ำ ภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย เมื่อปี 2561 นั้นจะถูกนำเสนอออกมาในสื่อรูปแบบต่าง ๆ

ทั้งภาพยนตร์เอย ซีรีส์เอย สารคดีเอย พอได้ยินว่า Netflix กำลังจะมีสารคดี Original เรื่องใหม่ ’13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ’ (The Trapped 13: How We Survived The Thai Cave) ขึ้นมาอีกคำรบ

หลายคนคงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า เล่าจนปรุไปหมดขนาดนี้แล้ว จะเอาแง่มุมไหนมาเล่าให้ไม่ซ้ำ ไม่ตีหัวเข้าบ้านด้วยสิ่งที่เคยมีมาแล้ว และ ไม่ซ้อนกับข่าวสาร ข้อมูล เกร็ดต่าง ๆ ที่คนทั่วไปสามารถรับรู้ได้ง่ายแทบจะทุกแง่มุม

สำหรับ เรื่องย่อ 13 หมูป่า ในเวอร์ชั่นนี้ เป็นการเผยให้เห็นถึงความวุ่นวายของคนแทบจะทั้งโลก ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น หลาย ๆ คน หลาย ๆ ประเทศต่างให้ความสนใจเหตุการณ์ที่สมาชิกทีมฟุตบอลเยาวชน 13 คนทางภาคเหนือของประเทศไทยติดอยู่ในถ้ำที่น้ำท่วมเมื่อกลางปี 2018 หลังติดอยู่ในถ้ำนานถึง 17 วัน

ทุกคนก็ได้รับการวางยาสลบ และ นำตัวออกมาได้ในที่สุดในภารกิจกู้ภัยระดับโลกครั้งยิ่งใหญ่ซึ่งมีนักดำน้ำมาร่วมด้วยมากกว่า 90 คน และ สารคดีเรื่องนี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวจากมุมมองของเด็ก ๆ และ โค้ชที่เคยติดอยู่ในนั้น

เชื่อว่าหลายคนอาจจะรู้สึกเอียนกับการตีแผ่เรื่องราวเหตุการณ์ที่เคยเป็นปรากฏการณ์การรวมใจครั้งสำคัญของโลกที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ซึ่งเคยเกิดขึ้นในปี 2561 ณ ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย เพราะเราได้เห็นทั้งหนัง และ ซีรีส์มากมายถูกผลิตออกมามากมายเต็มไปหมด

และ นี่ก็คือหนังเรื่องล่าสุดที่นำมาออกเสิร์ฟ “13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ” หนังสารคดีที่มีจุดเด่น และ แตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ เพราะนี่คือเรื่องราวจากมุมมอง และ สายตาของผู้ประสบเหตุในถ้ำนั้นจริง ๆ ที่ยังไม่เคยมีที่ไหนเปิดเผยมาก่อน

หนังสารคดีเรื่องนี้เป็นฝีมือของนักสร้างหนังสารคดีสาวชาวไทย “ไพลิน วีเดล” ที่เคยแจ้งเกิด และ ประสบความสำเร็จจากผลงานแจ้งเกิด อย่าง Hope Frozen เมื่อไม่กี่ปีก่อน

แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้เป็นการเล่าเรื่องที่ทุกคนน่าจะทราบไทม์ไลน์กันดีอยู่แล้วว่า อะไรเกิดขึ้นบ้าง และ อะไรจะเกิดขึ้นเป็นลำดับต่อไป อีกทั้งปลายทางของหนังจะออกมาเป็นอย่างไร เป็นการเล่าวนซ้ำ ๆ เรื่องเดิมที่สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นหนังที่ซ้ำซาก

ความน่าสนใจของสารคดีเรื่องนี้คงหนีไม่พ้นการที่ตัวเรื่องไม่ได้เล่าจากมุมมองในเชิงข่าว ข้อมูลดิบ เทคนิค หรือนำเสนอแต่ความอันตรายภายในถ้ำหลวงที่น้ำท่วม ความตื่นตะลึงในปฏิบัติการที่เสี่ยงอันตรายในทุก ๆ ขั้นตอน แต่ประสบความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์

หรือแม้แต่การตั้งคำถามกับระบบการจัดการ และ โครงสร้างของผู้มีอำนาจในการจัดการวิกฤติ แต่ตัวหนังเลือกที่จะนำเสนอเรื่องราวเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย หรือจะเรียกว่าเป็น Trivia ส่วนตัวของ Subject หลักในเรื่อง

นั่นก็คือตัวแทนเด็ก ๆ 13 หมูป่าตัวจริงทั้งโค้ชเอก, ไตตั้น, มิกซ์, ตี๋, เติ้ล, มาร์ก และ อดุลย์ ประกอบวางกับซีนสถานการณ์จำลอง และ ฟุตเทจจากข่าวบางส่วนแทน แน่นอนว่ามันอาจจะทำให้รู้สึกว่าเดจาวูเหมือนดูซ้ำเหตุการณ์เดิมที่รู้บทสรุปไปแล้วบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนเสริมเรื่องราวที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าตีหัวเข้าบ้านอะไรขนาดนั้น

แต่สำหรับผมหลังจากได้ดู หนัง ถ้ำหลวง เต็มเรื่อง ก็มีสิ่งที่ชอบมาก ๆ เป็นไฮไลต์แตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ เลยก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่ได้พาสมาชิกทีมฟุตบอลหมูป่า อคาเดมี่ ที่เคยประสบเหตุในครั้งนั้น มานั่งพูดคุย และ เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในถ้ำหลวงจากมุมมอง และ ประสบการณ์ตรงของพวกเขาเอง

ซึ่งเป็นมุมมองที่เชื่อว่ายังไม่เคยมีหนังเรื่องใดเคยตีแผ่มุมนี้มาก่อน และ นั่นก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่น่าสนใจที่สุดของหนังสารคดีเรื่องนี้ เพราะสิ่งที่พวกเขาที่เคยประสบเหตุมากับตัวเอง ได้นั่ง และ เล่าถึงเรื่องราวที่ต้องเผชิญหน้ามาจากปากพวกเขาเอง

อีกทั้งหนังยังเลือกนำเสนอที่แทบไม่แตะต้องประเด็นเชิงระบบ และ การเมืองต่าง ๆ เลย แต่เน้นเสนอมุมมองเชิงรากหญ้า เน้นแนวคิดของเด็กที่ประสบเหตุ และ ความรู้สึกจากพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นหลัก

และอีกสิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยคือการดำเนินเรื่อง ที่เหมือน ๆ จะออกแนะ สารคดี บอกเล่า อะไรยังไง ยังงั้นแหละ ซึ่ง แต่สำหรับผู้เขียน สารคดีเรื่องนี้ก็อาจจะชวนให้นึกถึงหนังแนว Coming of Age อยู่เหมือนกันนะครับ

แต่แทนที่ตัวละครต้องออกเดินทางไกลเหมือนหนัง Coming of Age ปกติ พวกเขากลับเดินทางเข้าไปในถ้ำ เพื่อไปเจอสถานการณ์กระทบกระเทือนรุนแรง และ ได้กลับออกมาพร้อมกับคำตอบที่ว่า พวกเขารู้สึกกับเหตุการณ์อันจะเป็นเหตุการณ์ใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของพวกเขาอย่างไรบ้าง พวกเขาผ่านความรู้สึกโหดร้ายดำดิ่งมาได้อย่างไร และ พวกเขามีความคิดที่เติบโตขึ้นอย่างไรบ้าง

ไม่ว่าคนภายนอกจะมองหรือเข้าใจพวกเขาในมุมมองอย่างไร แต่อย่างน้อย ๆ สารคดีเรื่องนี้ก็เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เติมเต็มเรื่องเล่าเล็ก ๆ ลงในเหตุการณ์ใหญ่ เป็นเหมือนไดอารี่ที่เติมเรื่องที่ไม่เคยถูกเล่าในฐานะของเด็กชายที่กำลังจะโตเป็นหนุ่มที่เคยผ่านสถานการณ์ และ ความรู้สึกที่มืดมิดที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตมาแล้ว

เรื่องราวเหล่านั้นอาจเลือนหายสาบสูญไปตามเวลา หลายคนอาจยังไม่เข้าใจพวกเขาเหมือนเดิม แต่สิ่งที่พวกเขารู้สึกก็คือ ไดอารี่เล่มนี้จะเป็นบทบันทึกเล็ก ๆ ที่คอยย้ำเตือนให้พวกเขา (และพวกเรา) มองเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นอดีต และ ย้ำเตือนว่า หากยังคงมีโอกาสที่สอง ทุกเหตุการณ์ในชีวิตล้วนเป็นบทเรียนที่สอนให้คนเราเติบโตขึ้นได้จริง ๆ

สรุปแล้วถ้าหากว่าหนังสารคดีฮอลลิวูด อย่าง The Rescue เมื่อปีก่อน เป็นหนึ่งในความยอดเยี่ยมในการเล่าถึงมุมเชิงปฏิบัติการช่วยเหลือเด็ก ๆ ออกจากถ้ำ หนังสารคดี The Trapped 13 ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งมุมที่ยอดเยี่ยมในการนำเสนอมุมมองของผู้ประสบเหตุตัวจริง เป็นจุดแข็งเป็นมุมมอง และ ประสบการณ์ของคนที่ติดอยู่ในถ้ำจริง ๆ ผ่านแนวคิดที่คนทั่วไปยังไม่เคยรู้มาก่อนว่าพวกเขาคิดอะไรกันอยู่ในช่วงเวลาที่ติดอยู่ในนั้น

The Trapped 13 อาจจะยังไม่ใช่หนังสารคดีที่มีองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้าน โครงสร้าง และ การเล่าเรื่องก็ยังจำเจอยู่ตามสูตรสำเร็จของโครงสร้างเรื่องเดิม ๆ แต่อย่างน้อยหนังก็ได้เลือกนำเสนอมุมมองที่โลกยังไม่เคยได้รู้มาก่อน และ นั่นก็เป็นจุดที่เวิร์กของหนัง พร้อมกับขับเคลื่อนตัวหนังได้อย่างทรงพลัง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปลายทางของเหตุการณ์ครั้งนี้

บัดนี้เราอาจจะได้รับรู้ถึงความรู้สึกของคนทั้ง 13 คนที่เคยติดอยู่ในถ้ำเมื่อครั้งนั้น แม้ว่าพวกเขาจะถูกสังคมบางส่วนตราหน้าว่าเป็นเด็กสร้างปัญหาให้กับคนอื่นเดือดร้อนเพราะความคะนองของตัวเอง แต่ทุกช่วงนาทีที่พวกเขาติดอยู่ในนั้น ต่างเต็มไปด้วยความคิดมากมาย ทั้งรู้สึกเครียด รู้สึกผิด รู้สึกหิว รู้สึกหมดหวัง แต่ห้วงเวลาเหล่านั้นก็คือคำตอบของเรื่องราวนี้ทั้งหมด ที่บัดนี้ได้กลายเป็นอีกหนึ่งในเหตุการณ์อันเป็นแรงบันดาลใจของความหวังระดับโลกไปแล้ว…